วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ประเพณีกินผัก (เจี๊ยะฉ่าย)

เดิมประเพณีกินผัก (เจี๊ยะฉ่าย) ที่ชาวบ้านและชาวจีนที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ตเรียกกันว่า "เจี๊ยะฉ่าย"
นั้น เป็นลัทธิเต๋าซึ่งนับถือบูชาเซียนเทวดา เทพเจ้า วีรบุรุษ เป็นประเพณีที่คนจีนนับถือมาช้านาน โดยเฉพาะคนจีนฮกเกี้ยน คำว่า "เจี๊ยะฉ่าย" (กินผัก) เป็นภาษาท้องถิ่น วันประกอบพิธีตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ (เก้าโง้ยโฉ่ยอีดถึงโฉ่ยเก้า) ตามปฏิทินจีนของทุกๆปี
ประเพณีเจี๊ยะฉ่าย ได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกที่หมู่บ้าน ไล่ทู (ในทู) ซึ่งเป็นหมู่บ้านกะทู้ ตำบลกะทู้ จังหวัดภูเก็ตในปัจจุบัน คนจีนเหล่านั้นได้อพยพเข้ามาทำเหมืองแร่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา (ในสมัยรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) มีการค้าขายแร่ดีบุกกับปอร์ตุเกส ฮอลันดา ฝรั่งเศส อังกฤษ เป็นต้น คนจีนเหล่านั้นได้หลั่งไหลเข้ามามากที่สุดก่อนปี พ.ศ.2368 คือหลังจากเมืองภูเก็ตและเมืองถลางถูกพม่ารุกรานเมื่อปี พ.ศ.2352 พลเมืองได้กระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ครั้นพระยาถลาง (เจิม)ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองถลาง และได้ตั้งเมืองภูเก็ตที่บ้านเก็ตโฮ่ ให้พระภูเก็ต (แก้ว) มาเป็นเจ้าเมือง (ระหว่าง พ.ศ. 2368-2400)
พื้นที่รอบๆในทู (กะทู้) อุดมสมบรูณ์ไปด้วยแร่ดีบุก จึงทำให้คนจีนหลั่งไหลเข้ามาขุดแร่ดีบุกเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีนที่อพยพมาจากเมืองถลางเดิมที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป และที่อพยพมาจากมณฑลฮกเกี้ยน,ซัวเถาและเอ้หมึง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยอาศัยเรือใบผ่านมาทางแหลมมาลายู เป็นต้น หมู่บ้านในทูในสมัยนั้นยังเป็นป่าทึบ มีไข้ป่า ตลอดจนภยันตรายต่างๆ จากสัตว์ป่ามากมาย แต่ผู้คนและชาวจีนในหมู่บ้านในทูกลับเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีแร่ดีบุกอุดมสมบูรณ์จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก
คนจีนที่อยู่ในทูสมัยนั้น มีความเชื่อและความศรัทธาในเรื่องเทพเจ้าประจำตระกูลหรือเทพเจ้าที่คุ้มครองประจำหมู่บ้าน เช่น เทพยดาฟ้าดิน เซียนต่างๆ รวมถึง บรรพบุรุษของตนเองมาก่อนแล้ว เมื่อมีเหตุเภทภัยเกินขึ้นจึงได้มีการอัญเชิญเทพเจ้าแต่ละพระองค์ที่ตนนับถือบูชากราบไหว้ให้มาคุ้มครองปกป้องรักษาตน หรือพวกพ้องที่ได้ทำมาหากินในท้องถิ่นที่ตนพำนักอาศัยให้คนเหล่านั้นอยู่ เย็นเป็นสุขโดยทั่วกันและความเชื่อนี้ยังคงยึดถือจนตราบเท่าทุกวันนี้
ต่อมาได้มีคณะงิ้ว หรือ เปะหยี่หี่ ที่ได้เดินทางมาจากประเทศจีนมาเปิดแสดงที่บ้านในทู คณะงิ้วนี้สามารถแสดงอยู่ได้ตลอดปี เนื่องจากเศรษฐกิจของชาวในทู กรรกรจีน รวมถึงร้านค้า มีรายได้ดีมาก ในขณะนั้น ต่อมาปรากฏว่ามีตึกดิน 26 หลัง และโรงร้าน 112 หลัง จึงสามารถอุดหนุนงิ้วคณะนี้ได้ตลอดปี หลังจากคณะงิ้วได้เปิดทำการแสดงอยู่ที่บ้านในทูระยะหนึ่ง ได้เกิดมีการเจ็บป่วยเป็นไข้ และจากการเจ็บป่วยครั้งนี้ทำให้คณะงิ้วนึกขึ้นได้ว่าพวกตนไม่ได้ประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่าย (กินผัก) ซึ่งเคยปฏิบัติกันมาทุกปีที่เมืองจีน และปรากฏมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอึ่งตี่ฮ่องเต้เป็นต้นมา จึงได้ปรึกษาหารือในหมู่คณะ และได้ตกลงกันประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายขึ้นที่โรงงิ้วนั่นเอง ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถลงเรือใบ หรือเรือสำเภาเดินทางกลับไปร่วมพิธีเจี๊ยะฉ่ายที่เมืองจีนได้ทันเพราะใกล้จะถึงวันประกอบพิธีแล้ว จึงได้ตกลงใจประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายขึ้นที่โรงงิ้วเพื่อขอขมาโทษด้วยสาเหตุ
ต่างๆต่อมาโรคภัยไข้เจ็บก็หายไปหมดสิ้น รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บที่เคยเบียดเบียดชาวในทู ก็ลดลงด้วยเช่นกัน เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวในทูเป็นอันมาก จึงได้สอบถามจากคณะงิ้วและได้คำตอบว่าพวกเขาได้ประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายแบบย่อๆ เนื่องจากไม่มีผู้รู้และผู้ชำนาญในการจัดประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายโดยเพียงแต่สักการะบูชากราบไหว้ขอขมาโทษ ระลึกถึงกิ้วอ๋องเอี๋ยหรือ กิ้วอ๋องต่ายเต่หรือพระราชาธิราชทั้งเก้าพระองค์นั้นเอง
คณะงิ้วยังได้แนะนำชาวจีนในทูต่อไปว่า การเชิญเทพเจ้ามาสักการะบูชาเพื่อปกป้องตนเอง ครอบครัว และท้องถิ่น เพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุขตามที่ได้ปฏิบัติกันมาแล้ว เป็นสิ่งที่ดีแต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นก็ควรจะเจี๊ยะฉ่ายถือศีลไปด้วย การเจี๊ยะฉ่ายไม่จำเป็นต้องปฏิบัติให้ครบทั้งเก้าวัน จะเจี๊ยะฉ่ายกี่วันก็ได้ตามแต่ศรัทธาและเหมาะสมของแต่ละครอบครัว ชาวในทูและคนจีนส่วนใหญ่มีความเชื่อและเลื่อมใสได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของคณะงิ้ว โดยได้ประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายในปีต่อมา ประเพณีเจี๊ยะฉ่ายของเมืองภูเก็ตได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ในทู (กะทู้) นั่นเอง ต่อมาจึงได้แพร่หลายออกไปตามสถานที่ต่างๆ
หลังจากชาวจีนในทูได้ประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายได้ประมาณ 2-3 ปี โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ลดน้อยลงและหายไปในที่สุด ทำให้ชาวจีนที่มาอาศัยทำเหมืองแร่อยู่ตามดงตามป่ามีความเชื่อและศรัทธาเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น
ก่อนคณะงิ้วจะย้ายไปทำการแสดงที่อื่น คณะงิ้วได้มอบรูปพระกิ้มซิ้น (เทวรูป),เล่าเอี๋ย (เตียนฮู้หง่วนโส่ย),ส่ามอ๋องฮู่อ๋องเอี๋ย, ส่ามไถ้จือ และได้ให้คำแนะนำแก่ชาวจีนเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมโดยย่อๆ ในครั้งนั้นด้วยในช่วงระยะที่ชาวจีนกำลังประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่าย (กินผัก) ที่ท่านผู้รู้ท่านหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏนามเคยอาศัยอยู่ที่มณฑลกังไส (กังไส คือ เจียงซี้ของประเทศจีนในปัจจุบัน) ได้เดินทางมาประกอบอาชีพในทู ได้เห็นการประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายของชาวจีนไม่ถูกต้องตามแบบฉบับของฉ้ายตึ้ง (ศาลเจ้าในมณฑลกังไส) จึงได้แจ้งให้ชาวจีนในทูทราบว่าตนยินดีรับอาสาเดินทางกลับไปมณฑลกังไสของประเทศจีน เพื่อไปเชี้ยเหี้ยวโห้ย (อัญเชิญธูปไฟ) และองค์ประกอบสำหรับพิธี แต่ไม่สามารถเดินทางไปได้เนื่องจากขาดทุนทรัพย์ ชาวจีนในทูจึงได้ร่วมมือร่วมใจกันรวบรวมทุนทรัพย์ให้กับผู้รู้ท่านนี้ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปมณฑลกังไส
อีก 2-3 ปีต่อมา ในระหว่างที่ชาวจีนในทูประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายแบบย่อๆ จนถึงวันขึ้น 7 ค่ำ (วันเก้าโง้ยโฉ่ยฉีด) ตามปฏิทินจีน เวลากลางคืน เรือใบจากประเทศจีนได้เดินทางมาถึงหัวท่าบ่างเหลียว (บางเหนียวในปัจจุบัน) ท่านผู้รู้ได้เดินทางกลับมากับเรือใบลำนี้ด้วยและได้ส่งคนมาแจ้งข่าวให้ชาวจีนในทูทราบว่า บัดนี้ตนได้เดินทางกลับจากประเทศจีนมาถึงหัวท่าบางเหลียวพร้อมเชี้ยเหี้ยวเอี้ยน (ผงธูป) มาด้วยแล้ว ขอให้คณะกรรมการกับผู้ที่ร่วมประกอบพิธีเจี๊ยะฉ่ายไปต้อนรับที่หัวบ่างเหลียวในวันเก้าโง้ยโฉ่ยโป๊ยคือวันรุ่งขึ้น
เหี้ยวโห้ย หรือ เหี้ยวเอี้ยนที่นำมาจากมณฑลกังไส ได้จุดปักไว้ในเหี้ยวหล๋อ(กระถางธูป) โดยจุดธูปให้ติดตลอดระยะทางมิให้ดับ นอกจากนี้ยังได้นำแก้ง(บทสวดมนต์,คัมภีร์,ตำราต่างๆ พร้อมทั้งป้ายชื่อเต้าโบ้เก้ง ป้ายติดหน้าอ๊ามฉ้ายตึ้ง)
ปัจจุบันประเพณีเจี๊ยะฉ่าย (กินผัก) ของชาวภูเก็ตได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาทุกปีนับเวลาได้ หลายร้อยปีแล้วซึ่งถือว่าเป็นประเพณีอันดีงามของชาวภูเก็ต


ข้อควรปฏิบัติ 10 ประการสำหรับผู้ถือศีลกินผัก
1 ชำระร่างกายให้สะอาดตลอดช่วงงานประเพณีถือศีลกินผัก
2 ทำความสะอาดเครื่องครัวและแยกใช้คนละส่วนกับผู้ที่ไม่ได้ถือศีลกินผัก
3 ควรสวมชุดขาวตลอดช่วงงานประเพณีถือศีลกินผัก
4 ประพฤติตนดีทั้งกายและใจ
5 ห้ามบริโภคเนื้อสัตว์
6 ห้ามมีเพศสัมพันธ์ในช่วงงานประเพณีถือศีลกินผัก
7 ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา
8 ผู้ที่อยู่ระหว่างไว้ทุกข์ไม่ควรร่วมงานประเพณีถือศีลกินผัก
9 หญิงมีครรภ์ไม่ควรดูพิธีกรรมใด ๆ ในช่วงงานประเพณีถือศีลกินผัก
10 หญิงมีประจำเดือนไม่ควรร่วมพิธีกรรมใด ๆ ในช่วงงานประเพณีถือศีลกินผัก


พิธียกเสาโก้เต้ง
ก่อน 5 โมงเย็น ผู้มีหน้าที่จะให้เด็กตีฆ้องจีนเรียกว่า (โหล) ไปตามถนนร้องบอกประชาชนให้ไปช่วยขึ้นเสาเทวดา และกิ่วอ๋องต่ายเต่ เรียกว่า (คี้โก้เต้ง) เมื่อประชาชนได้ทราบข่าวก็จะมายังศาลเจ้าฯ เป็นจำนวนมาก ครั้นได้เวลาเจ้าหน้าที่เลอไท (ฮวดกั้ว) ทำพิธีเชิญประชาชนก็ช่วยกันดึงเชือกส่วนใหญ่ผู้ใช้ไม้ค้ำยันเสาก็ช่วยกันยันเสาขึ้นจนเป็นที่เรียบร้อยจึงนำตะเกียงทั้งเก้าดวงเตรียมไว้สำหรับจะดึงขึ้นสู่ยอดเสาก่อนพิธีเชิญพระกิ้วอ๋องต่ายเต่เข้าศาลเจ้า
ประชาชนที่มีรูปเทพเจ้าบูชาตามบ้านเรือนหรือตามห้างร้านค้าจะจุดธูป 3 เล่ม บอกกล่าวอัญเชิญเทพเจ้าเหล่านั้นไปร่วมพิธีกินผัก (เจี่ยะฉ่าย) ที่ศาลเจ้าซึ่งเป็นมณฑลพิธีเป็นจำนวนมาก
พิธีโก้ยเช่งเหี้ยว (เครื่องหอม) ศาลเจ้า

ช่วงระยะเวลาตอนค่ำ ทางเจ้าหน้าที่และคณะกรรมการผู้รับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องในงานพิธีกินผัก ได้จัดเตรียมสิ่งของทุกชนิดที่ใช้ในพิธีการและใช้สักการะบูชาทุกหน้าพระ เรียกว่า ตั๋ว ทุกๆแห่ง
ครั้นได้เวลา 23.00 น เจ้าหน้าที่เลอไท (ฮวดกั้ว) จะทำพิธีไหว้เทพเจ้าตามหน้าที่พระที่มีบรรดาพระหรือเทพที่ประทับอยู่ในศาลเจ้าให้รับทราบขั้นตอนถึงเวลาจะทำพิธีหม้อไฟไม้หอม โก้ยเซ่งเหี้ยว เรียกว่า เส้เจ่ง หรือ หม้อไฟเครื่องหอมจะรมภายห้องภายในโรงครัวศาลเจ้า ที่พักผู้ประทับทรง และตามบริเวณศาลเจ้าแล้วจึงไปวางไว้ที่โต๊ะพิธีเชิญเทวดามาเป็นประธานในพิธี และทำพิธีเชิญพระราชาธิราชทั้งเก้าพระองค์ (กิ้วอ๋องต่ายเต่) ซึ่งได่จัดเตรียมไว้ที่หน้าศาลเจ้า
พิธีเชิญยกอ๋องส่งเต่ (พระอิศวร)
ครั้นถึงเวลา 00.15 น. เที่ยงคืนของวันขึ้น 1 ค่ำ (ตามปฏิทินจีน) คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่เลอไท (ฮวดกั้ว) ทำพิธีไหว้เทพเจ้าตามพระที่ประทับอยู่ในศาลเจ้าให้รับทราบถึงขั้นตอน เมื่อถึงเวลาอัญเชิญเทวดายกอ๋องส่งเต่ (พระอิศวร) มาเป็นประธานใหญ่ในพิธีกรรมกินผัก มีประชาชนที่มาพร้อมในพิธีได้ร่วมอัญเชิญเทวดาที่หน้าศาลเจ้าเป็นจำนวนมาก เมื่อทำพิธีเชิญเทวดา โดยการเสี่ยงทาย (ปั๊วะโป้ย) เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วต่อจากนั้นจึงอัญเชิญ หม้อไฟไม้หอม กระถางธูปและชื่อเทวดาไปประดิษฐ์บนแท่นบูชา ซึ่งทางศาลเจ้าได้จัดเตรียมไว้เช่นทุกๆ ปีที่เคยปฏิบัติ
พิธีเชิญกิ้วอ๋องต่ายเต่ (พระราชาธิราชทั้งเก้าพระองค์)
หลังจากอัญเชิญเทวดามาเป็นประธานในพิธีเสร็จแล้ว ผู้มีหน้าที่มาช่วยในศาลเจ้าจะต้องเตรียมจุดตะเกียงทั้งเก้าดวงขึ้นไว้เพียงครึ่งเสา อีกไม่นานเจ้าหน้าที่ฮวดกั้ว (เลอไท) จะทำพิธีไหว้ตามหน้าพระอีกตามขั้นตอนจนถึงเวลาเชิญกิ้วอ๋องต่ายเต่ คือ พระราชาธิราชทั้งเก้าพระองค์ โดยการเสี่ยงทาย (ปั๊วะโป้ย) เมื่อทำพิธีเชิญเสร็จเป็นที่เรียบร้อย จึงอัญเชิญหม้อไฟไม้หอม กระถางธูปของกิ้วอ๋องต่ายเต่ (พระราชาธิราชเก้าพระองค์) พร้อมกับชิ้วหลอ คือ กระถางธูปมือถือ เข้าไปยังห้องประดิษฐานชั้นใน เรียกว่า (ไล่ตัว) เปรียบเสมือนพระราชวังที่ประทับชั้นในเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือในศาลเจ้าทำพิธีสวดมนต์ (ส่งเก้ง) ดึงตะเกียงทั้งเก้าดวงขึ้นสู่ยอดเสา เป็นอันว่าพิธีการกินผักได้เริ่มขึ้น
เก้าโง๊ยโช่ยอื๊ด วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 จีน

ทางฝ่ายโรงครัวของศาลเจ้า ได้จัดหุงอาหารเตรียมไว้ให้กับประชาชนที่จะนำปิ่นโตมารับอาหารจากโรงครัวไปรับประทานที่บ้าน
ในสมัยก่อนผู้ที่หิ้วปิ่นโตนำอาหารมาจากโรงครัวของศาลเจ้าก่อนจะรับประทานอาหารจะต้องจุดธูปไหว้พระในบ้านและจุดไม้หอมพร้อมกันแล้วเอาปิ่นโตหรือหม้อข้าวรมควันไม้หอมเสียก่อน เรียกว่า (โก้ยเช่งเหี้ยว) ทุกครั้งจึงนำอาหารมารับประทานได้
เก้าโง๊ยโช่ยส้า วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 9 ของจีน

เมื่อทางศาลเจ้าได้ประกอบพิธีเจี่ยะฉ่าย (กินผัก) มาครบ 3 วัน ฮวดกั้ว (เลอไท) เวลา 15.00 น. ทำพิธีไหว้พระแล้วเชิญเทพผู้ใหญ่เข้าประทับทรงรวมถึงเทพอื่นๆ ที่มาร่วมในพิธีออกทำการลงหลักปักเขต รอบอาหารศาลเจ้า ตามทิศต่างๆ ด้วย เต๊กฮู้(ยันต์ไม้ไผ่) ผ่าซีกเขียนชื่อเทพผู้ใหญ่ ไปปักตามจุดที่สำคัญบริเวณศาลเจ้า คือ (ป้างกุ๋น) เป็นการปล่อยทหารออกรักษาการณ์ตามทิศต่างๆ ดังนี้
1.ตั้ง ทิศตะวันออก ธงสีเขียว กิ้วอี่กุ้น (หลุยจินจู้) เป็นแม่ทัพมีทหาร 99,000 นาย
2.หลำ ทิศใต้ ธงสีแดง ปัดบ่านกุ้น (เอี่ยวเจี้ยน) เป็นแม่ทัพมีทหาร 88,000 นาย
3.ไช้ ทิศตะวันตก ธงสีขาว ล๊กย่ง (กุ้นอุ่ยฮ้อ) เป็นแม่ทัพมีทหาร 66,000 นาย
4.ปั๊ก ทิศเหนือ ธงสีดำ ง้อเต๊กกุ้น (โทเฮ่งสุน) เป็นแม่ทัพมีทหาร 55,000 นาย
5.จงเอี๋ย กองกลางธงสีเหลือง ซ่ำซิ่นกุ้น (โลเฉี้ย) เป็นแม่ทัพมีทหาร 33,000 นาย มีหน้าที่รักษาภายในบริเวณศาลเจ้า
นอกจากนี้ยังได้ไปปักหลักเขตตามทิศต่างๆ ของศาลเจ้าและบริเวณที่สำคัญได้แก่ ที่เสาโก่เต้ง จังผ้อแป๋(โรงครัว) กิ้มเต๋ง (เตาเผากระดาษทอง) เมื่อเสร็จพิธีลงหลักปักเขตเสร็จแล้วบรรดาเทพที่ประทับทรงมายังโต๊ะพิธีป้างโข้กุ้น (ปล่อยทหาร) เป็นอันเสร็จพิธีและจะทำพิธีโข้กุ้น (เลี้ยงทหาร) ไปจนตลอดงานเริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 15.00-16.00 น. ทุกวัน

พิธีเชิญล่ำเต้าปักเต้า (ผู้ถือบัญชีคนเกิดและคนตาย)

ในวันเดียวกันตอนค่ำเวลา 19.30 น. เจ้าหน้าที่ฮวดกั้ว (เลอไท) ทำพิธีเชิญเทพเข้าประทับทรงจัดขบวนแห่ไปอัญเชิญ ล่ำเต้า - ปั๊กเต้า (ผู้ถือบัญชีคนเกิดคนตาย) ซึ่งเคยปฏิบัติมาประดิษฐาน ณ ห้องประทับพระราชวังชั้นกลาง เพื่อมาร่วมรับทราบและร่วมพิธีกรรมในครั้งนี้ด้วย
พอตกดึก เถ้าเก้ล่อจู้ คำว่า ล่อจู้ คือ หัวหน้า รองล่อจู้ คือ ผู้ช่วย เก่าแก้ คือรองจากผู้ช่วย เจ้าหน้าที่พวกนี้จะมีหน้าที่ดูแล ปัดกวาด ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในศาลเจ้าและอำนวยความสะดวก แนะนำแก่ผู้ที่มาบูชาพระ พวกเขาเหล่านี้ เขาถือว่าเป็นผู้โชคดีที่สุดที่ได้มารับใช้พวกเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะต้องเข้าเวรยามรักษาการณ์ใน
ศาลเจ้า เขาจะนำรายชื่อผู้ที่มาก่าวเอี้ยนลุ้ย (คือ ผู้ที่มาร่วมทำบุญ) มาทำการปั๊วะโป้ย (เสี่ยงทาย) ต่อหน้ายกอ๋องส่งเต่ (พระอิศวร) คัดเลือกฉ้ายอิ้ว คือ (สมาชิก) เรื่อยไปจนถึงวันสุดท้ายเพื่อเตรียมเป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้คัดเลือกรายชื่อเตรียมไว้ช่วยงานศาลเจ้าในปีต่อไปก็คือ เถ้าแก่ล้อจู้

พิธีโก้ยชิดแฉ้ (บูชาเทวดาดาวพระเคราะห์)

เวลา 14.00 น. ทางศาลเจ้าจะปลูกปะรำพิธีหน้าศาลเจ้ามีเทพเจ้าผู้ใหญ่จะทำพิธี เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. คณะกรรมการบริหารและผู้เกี่ยวข้องจะต้องร่วมพิธีเพื่อบูชาบวงสรวงเทพยดาต่างๆ และดาวพระเคราะห์ เรียกว่า (โก้ยชิดแฉ้ หรือ ป้ายชิดแฉ้) มีการส่งเก้ง (สวดมนต์) อ่านรายชื่อผู้เข้าร่วมกินผักทั้งชายและหญิงและจำนวนข้าวสารที่ใช้ไปในงานและอวยพรให้ประเพณีกินผักอยู่ยืนยาว และให้ฉ้ายอิ้ว (สมาชิก) อยู่เย็นเป็นสุขโดยทั่วกันทุกคน จากนั้นผ้าป้อฮู้ เรียก (ผ้ายันต์) ส่วน ฮู้จั้ว คือ กระดาษ (ยันต์) บรรดาพระผู้ใหญ่ที่ประทับทรงอยู่บนปะรำพิธีจะโปรยผ้ายันต์หรือกระดาษยันต์ลงมาให้กับประชาชนที่รอคอยกันอยู่เบื้องล่างเป็นจำนวนมากและผู้คนได้แย่งกัน นับเป็นประเพณีที่แปลกไปอีกอย่างหนึ่ง
ในคืนนี้ ได้จัดเตรียมขบวนแห่สิ่งของต่างๆ เพื่อไปเชี้ยโห้ยที่สะพานหิน ซึ่งเป็นวันคล้ายกับเป็นการระลึกถึงครั้งแรกที่ทางศาลเจ้าต่างๆ ได้ไปเชิญพระกิ้วอ๋องต่ายเต่ (ราชาธิราชทั้งเก้าพระองค์) พร้อมคัมภีร์พิธีกรรมกินผักต่างๆ ที่มาจากประเทศจีน
พิธีเชี้ยเหี้ยวโห้ย คือ (เชิญธูปจุดไฟจากประเทศจีน)

รุ่งเช้ามือของวันแห่การจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ ที่ได้เตรียมไว้เชิญพระผู้ใหญ่เข้าประทับทรงได้เวลาอันสมควรจึงเคลื่อนขบวนแห่ไปยังสะพานหิน การจัดขบวนแห่ที่ใหญ่โตตามลำดับประกอบด้วยดังนี้
1.ค่ายโหล (ฆ้องเบิกทาง)
2.ตั๋วกี๋ (ธงใหญ่)
3.เถ๋ากี๋ (ธงนำหน้า)
4.ป้ายชื่อพระราชาธิราชทั้งเก้าพระองค์เสด็จ (กิ้วอ๋องต่ายเต่) เสด็จผ่านและป้ายให้เงียบและสงบ
5.โฉ้ย (ปี่ยาว)
6.เฉ่งตัวโหล (ฆ้องใหญ่)
7.ไท่เผีย หรือ เก่ว (เกี้ยวเล็ก)
8.เทพเจ้าต่างๆ ประทับทรง
9.โฉ้ย (ปี่สวรรค์)
10. เหี้ยวเต่า (เครื่องหม้อไฟหอม)
11.เหนี่ยวซั่ว (ร่ม กระถางธูปมือถือ)
12. ตั่วเลี้ยน (เกี้ยวใหญ่) ที่ประทับสำหรับกิ้วอ่องต่ายเต่ ประทับเมื่อขบวนแห่ไปถึงสะพานหิน เจ้าหน้าที่ฮวดกั้ว (เลอไท) และคณะกรรมการบริหารได้ร่วมทำพิธีเชิญเหี้ยวโห้ย ของ (พระราชาธิราชทั้งเก้าพระองค์) โดยการเสี่ยงทาย (ปั๊วะโป้ย) เมื่อทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงอันเชิญนำขบวนแห่กลับศาลเจ้าตามเดิม
พิธีโก้ยโห้ย
เป็นพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์อีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อมีการประกอบพิธีกินผัก จะต้องมีการลุยไฟทุกครั้ง เพื่อให้สิ่งเลวรายไปกับเปลวไฟ
พิธีโก้ยห่าน

ผ่านการสะเดาะเคราะห์ประทับตรามีรูปต่างตัว (โต้ยซี้น) ต่างตัวกับต้นกู้ฉ่าย 1 ต้น กับเศษสตางค์ สำหรับผู้ชายจะเดินข้ามหม้อไฟไม้หอม เดินข้ามสะพานเทพเจ้าประทับตราให้ เมื่อผ่านไปแล้วจึงนำรูปต่างตัวกับต้นกู้ฉ่ายกับเศษสตางค์ลงในแข่งที่รองรับไว้ส่วนสำหรับผู้หญิง จะไม่มีหม้อไฟไม้หอม นอกนั้นปฏิบัติเหมือนกันทุกอย่าง
การโก้ยหาน เป็นการสะเดาะห์อีกแบบหนึ่ง คือ สำหรับผู้ที่ไม่กล้าลุยไฟที่เป็นผู้ชาย ผู้หญิงหรือเด็กจะเข้ามาทำการโก้ยห่านได้เพื่อจะได้ให้สิ่งเลวร้ายต่างๆจะได้ไปพร้อมกับรูปต่างตัว ส่วนต้นกู้ฉ่ายนั้นมีความหมายว่าจะได้อายุยืนยาวต่อไปเหมือนกับต้นกู้ฉ่าย (ความหมาย คืน ต้นกู้ฉ่ายนี้เมื่อตัดต้นมากินแล้ว ส่วนหัวของต้นจะแตกยอดเป็นต้นขึ้นมาอีกจะไม่มีวันหมด ซึ่งเข้าใจกันว่าจะแตกกอและยืนยาวไม่มีสิ้นสุด)
พิธีส่งยกอ๋องส่งเต่ (ส่งพระอิศวร) ขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 จีน
ก่อนเที่ยงคืนหรือเที่ยงคืน ทางศาลเจ้าจะจัดโต๊ะทำพิธีส่งพระขึ้นสวรรค์ คือ ส่งเก้งส่างยกอ๋องส่งเต่ คือ เชิญพระอิศวรกลับขึ้นสรวงสวรรค์ ที่มาเป็นประธานใหญ่ในพิธีทั้ง 9 วัน 9 คืน เมื่อครบกำหนดจึงทำพิธีส่งที่หน้าศาลเจ้าจะมีผู้คนส่งเทวดาขึ้นสวรรค์เป็นจำนวนมาก พร้อมกับแจ้งรายงานจำนวนผู้ที่มาร่วมพิธีกินผักทั้งชายหญิงจำนวนเท่าไรใช้ข้าวสารไปจำนวนกี่กระสอบในปีนี้ให้พระอิศวรรับทราบและขอให้ศาลเจ้าอยู่เป็นหมื่นปีพร้อมกับประชาชนทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขโดยทั่วกัน (ฮั่บเก้งเป่งอ้าน)
พิธีส่างกิ้วอ๋องต่ายเต่ (พระราชาธิราชทั้ง 9 พระองค์)
ก่อนเที่ยงคืนหรือหลังเที่ยงคืน จะทำพิธีส่งเก้ง คือ สวดมนต์ รายงานเป็นครั้งสุดท้ายภายในห้องราชสำนักเพื่ออ่านรายชื่อคณะกรรมการ และผู้ที่มาช่วยเหลือพร้อมกับประชาชนทุกๆคน (ฉ้ายอิ้ว) ทั้งชายและหญิงที่มาร่วมในพิธีผักในปีนี้ทั้งหมดจำนวนเท่าไรและรวมถึงข้าวสารให้กิ้วอ๋องต่ายเต่ ได้รับทราบและขอให้ศาลเจ้า จงอยู่เป็นหมื่นปี (ฮับเก้งเป่งอ้าน) ขอให้ประชาชนทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขโดยทั่วกัน
หลังจากทำพิธีส่งเก้งเสร็จแล้ว คณะกรรมการผู้มีหน้าที่เชิญกระถางธูปต่างๆพร้อมทั้งของเล่งก้วนต่ายเต่ (ราชเลขา) ล่ำเต้า-ปั้กเต้า (ผู้ถือบัญชีคนตายและคนเกิด) ออกจากศาลเจ้าไปยัง ณ สถานที่ส่งตามที่ทางศาลเจ้าได้กำหนดไว้
พิธีส่างกิ้วอ๋องต่ายเต่ (พระราชาธิราชทั้ง 9 พระองค์)
ก่อนเที่ยงคืนหรือหลังเที่ยงคืน จะทำพิธีส่งเก้ง คือ สวดมนต์ รายงานเป็นครั้งสุดท้ายภายในห้องราชสำนักเพื่ออ่านรายชื่อคณะกรรมการ และผู้ที่มาช่วยเหลือพร้อมกับประชาชนทุกๆคน (ฉ้ายอิ้ว) ทั้งชายและหญิงที่มาร่วมในพิธีผักในปีนี้ทั้งหมดจำนวนเท่าไรและรวมถึงข้าวสารให้กิ้วอ๋องต่ายเต่ ได้รับทราบและขอให้ศาลเจ้า จงอยู่เป็นหมื่นปี (ฮับเก้งเป่งอ้าน) ขอให้ประชาชนทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขโดยทั่วกัน
หลังจากทำพิธีส่งเก้งเสร็จแล้ว คณะกรรมการผู้มีหน้าที่เชิญกระถางธูปต่างๆพร้อมทั้งของเล่งก้วนต่ายเต่ (ราชเลขา) ล่ำเต้า-ปั้กเต้า (ผู้ถือบัญชีคนตายและคนเกิด) ออกจากศาลเจ้าไปยัง ณ สถานที่ส่งตามที่ทางศาลเจ้าได้กำหนดไว้
พิธีลงเสาเทวดาและกิ้วอ๋องต่ายเต่ (เซียโก่เต้ง ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 9 จีน)

วันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 9 จีน ทุกศาลเจ้าเมื่อเสร็จจากพิธีกินผักจะต้องเขียนกระดาษแดง (เลี่ยนตุ่ย) ติดตามประตูต่างๆ ทุกแห่ง จัดเก็บเข้าของที่ได้นำมาใช้ในงาน ส่วนทางฝ่ายโรงครัวจัดทำอาหารคาวมีประเภทเนื้อสัวต์ต่างๆ เตรียมไว้ครั้นถึงเวลา 5 โมงเย็นประชาชนจะมาช่วยกันลงเสาเทวดากับกิ้วอ๋องต่ายเต่ เรียกว่า เซียโก่เต้ง หน้าศาลเจ้าลงแล้วหามเก็บเข้าที่ตามเดิม หลังจากนั้นก็เริ่มพิธีเลี้ยงอาหารเรียกว่า โข้กุ้น ตามทิศต่างๆที่ได้มารักษาการณ์ให้บริเวณงานทั้งภายในและภายนอกศาลเจ้าเชิญกลับเข้ากรมกองเรียกว่า ซิ่วกุ้น แต่ถ้าหากพิธีซิ่วกุ้น แต่ถ้าหากพิธีซิ่วกุ้นเชิญทหารกลับไม่หมดประชาชนเคราะห์หามยามร้ายจะเกิดมีการต่างๆ (ช้อง) เกิดขึ้นได้ เมื่อเสร็จประชาชนที่ได้เชิญรูปพระหรือเทพต่างๆ ที่นำไปร่วมในพิธีกินผักจะต้องเชิญกลับบ้านหลังจากโข้กุ้น ขุ่ยโฉ้ (กินอาหารคาว) เป็นอันว่าได้สิ้นสุดพิธีกินผักโดยสมบรูณ์ของปีนี้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น